Six Sigma เป็นการบริหารที่เกิดขึ้นปี พ.ศ. 2533
โดยกลุ่มวิศวกรของบริษัท Motorola ภายใต้การนำของ
Dr.Mikel Harry ซึ่งได้เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดนี้
และนำมาใช้กับการออกแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัทจนประสบความสำเร็จอย่างสูง
ต่อมาบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาจึงได้นำแนวคิดการบริหารจัดการแบบ Six Sigma
เข้ามาใช้
และประสบความสำเร็จสามารถลดค่าใช้จ่ายของบริษัทได้อย่างมาก
Six Sigma คืออะไร
Six Sigma เป็นการบริหารที่มุ่งเน้นในการลดความผิดพลาด ลดความสูญเปล่า
และลดการแก้ไขตัวชิ้นงาน และสอนให้พนักงานรู้แนวทางในการทำธุรกิจอย่างมีหลักการ
และจะไม่พยายามจัดการกับปัญหาแต่จะพยายามกำจัดปัญหาทิ้ง
Six Sigma จะดีที่สุดเมื่อทุกคนในองค์การร่วมมือกันตั้งแต่ CEO ไปจนถึงบุคลากรทั่วไปในองค์การ ซึ่ง Six sigma เป็นการรวมกันระหว่างอานุภาพแห่งคน
และอานุภาพแห่งกระบวนการ ซึ่งถ้าตัว Six Sigma มีค่าสูงหรือมีความผันแปรมากขึ้นเท่าไร
ก็เปรียบเสมือนมีการทำข้อผิดพลาดมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดตัวนี้เรียกว่า
DPMO (Defects Per Million Opportunities)
Six Sigma จึงถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกของวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพในขบวนการใด ๆ
โดยมุ่งเน้นการลดความไม่แน่นอน หรือ Variation และการปรับปรุงขีดความสามารถในการทำงานให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด
เพื่อนำมาซึ่งความพอใจของลูกค้า
และผลที่ได้รับสามารถวัดเป็นจำนวนเงินได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้
หรือลดรายจ่ายก็ตาม
แนวคิดพื้นฐานของ Six Sigma
การพัฒนาองค์การแบบ
Six
Sigma เป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นความเป็นเลิศ ซึ่งได้มีการกำหนดแนวทางในด้านต่างๆ
ได้แก่ ด้านการสื่อสาร การสร้างกลยุทธ์ และนโยบาย การกระจายนโยบาย การจูงใจ
และการจัดสรรทรัพยากรในองค์การให้เหมาะสม
เพื่อให้การปรับปรุงองค์การเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานที่มีความสามารถ
มีความตั้งใจที่จะปรับปรุง ต้องได้รับความรู้ที่เพียงพอต่อการปรับปรุง
รวมทั้งมีทีมที่มีความสามารถและมีความตั้งใจที่จะปรับปรุง
มีทีมที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงคอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุน
เพื่อให้ความผิดพลาดในการผลิตและการบริการมีน้อยที่สุด
แนวความคิดการบริหารปรับปรุงองค์การแบบ six sigma มีความแตกต่างจากแนวความคิดในการบริหารแบบเดิม
ที่เน้นการปรับปรุงการทำงานโดยเริ่มจากผู้บริหาร แล้วจึงกระจายให้หน่วยงานต่าง ๆ
ในองค์การปรับปรุง โดยขาดระบบการให้คำปรึกษาแนะนำและการช่วยเหลือที่เหมาะสม
หลักการของ Six Sigma
ซึ่งหลักการของ
Six
Sigma ตามแนวความคิดของเพนดิ (Pande, 2002 อ้างถึงใน
สิทธิศักดิ์ พฤกษ์ปิติกุล, 2546: 18-20)
1. การยึดผู้รับบริการเป็นจุดศูนย์กลาง
2. การบริหารจัดการโดยใช้ข้อมูลจริง
3. การมุ่งเน้นกระบวนการ
4. เน้นการจัดการเชิงรุก
5. เน้นการแก้ปัญหาแบบไร้พรมแดน
โดยจะยึดปัญหาเป็นตัวตั้ง
6. เน้นภาวะผู้นำและมีส่วนร่วมของฝ่ายบริหาร
7. การมุ่งเน้นนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
การสร้างความพึงพอใจ
8. การมุ่งสู่ความเป็นเลิศ
6 ประเด็นหลักสำคัญของ Six Sigma
หลักสำคัญของ Six
Sigma นั้นสามารถจัดส่วนต่างๆ ที่สำคัญได้เป็น 6 ประเด็น
โดยที่หลักการเหล่านี้จะถูกสนับสนุนโดยเครื่องมือและวิธีการของ Six Sigma คือ
1. การมุ่งเน้นไปที่ผู้รับบริการอย่างแท้จริงๆ
ใน Six
Sigma การมุ่งเน้นไปที่ผู้รับบริหารนั้นจะมีลำดับความสำคัญสูงสุด เช่น
การวัดผลของ Six Sigma จะเริ่มต้นจากผู้รับบริการ,
การปรับปรุงส่วนต่างๆ ของ Six Sigma
นั้นจะนิยามขึ้นจากผลกระทบของการบริหารที่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ระบบริการและคุณค่าที่จะเกิดขึ้น
2. เป็นการจัดการที่ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเป็นตัวผลักดัน
Six
Sigma
ใช้แนวคิดของการจัดการโดยใช้ข้อเท็จจริงไปสู่ระดับของการจัดการที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นโดยการปรับปรุงระบบสารสนเทศ
การจัดการด้านองค์ความรู้และอื่นๆ การประยุกต์ใช้ Six Sigma
จะเริ่มต้นโดยการทำความเข้าใจให้กระจ่างชัดว่าอะไรคือตัวชี้วัดที่สำคัญของสมรรถนะขององค์การ
จากนั้นจะทำการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ผลของตัวแปรหลักเหล่านั้น
ต่อจากนั้นปัญหาจะสามารถถูกกำหนด วิเคราะห์
และได้รับการแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น
3. กระบวนการในเชิงการปฏิบัติต่างๆ
จะเกิดขึ้นทันที ไม่ว่าจะมุ่งเน้นไปทีการออกแบบผลิตภัณฑ์ การบริการ การวัดสมรรถนะ
การปรับปรุงประสิทธิภาพและความพึงพอใจของผู้รับบริการ หรือสิ่งใดก็ตามที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาผลดำเนินงานขององค์กร
Six
Sigma จะมองว่ากระบวนการเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
โดยกระบวนการที่ดีจะเป็นแนวทางในการสร้างข้อได้เปรียบคู่แข่งโดยยึดแนวคิดของการมอบสิ่งที่มีคุณค่าให้กับผู้รับบริการ
4. การจัดการแบบเชิงรุก
โดยหมายถึง การลงมือกระทำก่อนที่เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นมา
แทนที่จะเป็นการตอบโต้กลับไป
การจัดการเชิงรุกจะหมายถึงการสร้างให้เกิดความเคยชินในการกำหนดเป้าหมาย
การพิจารณาถึงผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ การสร้างระดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ
ที่ชัดเจน การมุ่งเน้นไปที่การป้องกันปัญหามากกว่าการแก้ไขปัญหา
และการตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนี้แทนที่จะตอบโต้ไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา
การป้องกันเชิงรุกจะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการสร้างสรรค์และการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิผล
Six Sigma
จะรวมเอาเครื่องมือและหลังการต่างๆ ที่จะเข้ามาแทนที่ความเคยชินที่มุ่งจะตอบโต้ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
ด้วยลักษณะของการจัดการแบบเชิงรุก
5. การร่วมมือกันโดยปราศจากขอบเขต
การปราศจากขอบเขต (Boundary Lessens) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของความสำเร็จ
พยายามที่จะร่วมกันขจัดอุปสรรคต่างๆ
และปรับปรุงการทำงานเป็นทีมทั่วทั่งโครงสร้างขององค์ในทุกๆ โอกาส
เพื่อสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นให้มากที่สุด
ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อความพึงพอใจของผู้รับบริการ
6. การผลักดันไปสู่ความสมบรูณ์แบบหรือการทนต่อความล้มเหลว
จะทำอย่างไรให้บรรลุถึงระดับของการทำงานที่ปราศจากความบกพร่อง
หรือทนต่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งทั้งสองแนวคิดนั้นเป็นส่วนที่ต้องประกอบเข้าด้วยกัน
ไม่มีองค์การใดที่จะเข้าใกล้ระดับของ Six Sigma ได้โดยปราศจากการสร้างแนวความคิดและแนวทางใหม่ๆ
ซึ่งจะต้องรวมความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเข้าไปด้วย
ดังนั้นผู้บริหารจะต้องมีวิธีการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในขอบเขตที่จำกัด
กระบวนการแก้ไขปัญหาของทีม Six Sigma
ทีมงานการพัฒนา การแก้ไขปัญหา
และการออกแบบกระบวนการประมาณทีมละ 5-6 คน ที่เป็นตัวแทนส่วนงานต่างๆ
ในกระบวนการทำงานจะเข้ามาร่วมกันทำงานเป็นทีม โดยกระบวนการจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 การบ่งชี้และเลือกโครงการ
การเลือกโครงการควรจะอยู่บนพื้นฐานของ 2M คือ
การมีความหมาย (Meaningful) และมีความสามารถในการจัดการได้ (Management
Able)
โครงการจะต้องมีประโยชน์อย่างแท้จริงต่อองค์การและผู้รับบริการ
และเป็นสิ่งที่ทีมจะสามารถทำให้สำเร็จได้
ขั้นที่ 2 การสร้างทีม เมื่อทราบถึงปัญหาแล้ว
ขั้นต่อไปจะเป็นการเลือกทีมและผู้นำทีม
โดยต้องเลือกสมาชิกที่มีความรู้และความสามารถในการทำงานที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องนั้นๆ
ขั้นที่ 3 การพัฒนาชาร์เตอร์ (Charter) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการบอกแนวทางให้กับปัญหาหรือโครงการ โดยจะรวมถึงเหตุผลสำหรับการดำเนินการตามโครงการ
วัตถุประสงค์ แผนการทำงาน กิจกรรมต่างๆ ขอบเขตและข้อพิจารณาอื่นๆ
การทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบของทีม
ขั้นที่ 4 การฝึกอบรม
การฝึกอบรมถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของ Six Sigma โดยจะเน้นถึงกระบวนการ DMAIC
และเครื่องมือต่างๆที่ใช้
โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 1-4 สัปดาห์
ขั้นที่ 5 การทำ DMAIC จะรับผิดชอบต่อการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาของทีม
ไม่ได้มองถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอื่น ทีมต้องทำการพัฒนาแผนของโครงการ
การฝึกอบรม การทำการนำร่อง และดำเนินการตามแนวทางแก้ไขปัญหาของทีม
แล้วค่อยตรวจสอบผลลัพธ์ที่เกิดข้น
ขั้นที่ 6 ส่งผลของการแก้ปัญหา
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจและสมาชิกจะกลับไปสู่การทำงานตามปกติหรือทำโครงการถัดไป
โดยปกติจะมีการจัดพิธีการอย่างเป็นทางการ
ซึ่งเจ้าของกระบวนการจะรับผิดชอบในการคงไว้ของวิธีการที่ประสบความสำเร็จ
แบบจำลองการแก้ไขปัญหา DMAIC
แบบจำลองการแก้ไขปัญหาของ
Six Sigma จะประกอบด้วยวัฏจักรอยู่ 5 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 การกำหนดปัญหา (D
: Define)
จะเป็นการกำหนดขั้นตอนสำหรับโครงการ ถือได้ว่าเป็นความท้าทายที่ยากที่สุดของทีม
ต้องคิดคำถามต่างๆ เช่น เราทำงานเกี่ยวกับอะไร
ทำไมเราจึงทำงานเกี่ยวกับปัญหานี้
ใครคือผู้รับบริการ อะไรคือความต้องการของผู้รับบริการ
ตอนนี้งานถูกทำอย่างไร และอะไรคือประโยชน์ของการทำการพัฒนา
โดยหลังจากวิเคราะห์ปัญหาอย่างนี้แล้ว Charter ของทีมจะถูกกำหนดขึ้นได้
ขั้นที่ 2 การจัด (M
: Measurement)
การจัดเป็นสิ่งที่ตามมาเป็นตรรกะ (Logic)
เพื่อกำหนดและเป็นสะพานไปสู่ขั้นตอนต่อไป คือ การวิเคราะห์
โดยการวัดจะมีวัตถุประสงค์หลักอยู่ 2 ประการ คือ
1. รวบรวมข้อมูลเพื่อสามารถนำมาใช้ตรวจสอบ (Validate) และวัดปริมาณ (Quantify)
ของปัญหาหรือโอกาส
ปกติสิ่งนี้ คือข้อมูลที่สำคัญต่อการปรับปรุงและทำให้ Charter ของโครงการเสร็จสมบรูณ์
2. เริ่มแยกแยะข้อเท็จจริงและตัวเลข
ซึ่งอาจจะให้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาได้อย่างถูกต้อง
ขั้นที่ 3 วิเคราะห์ (A
: Analysis)
ในขั้นนี้ทีมจะลงลึกในรายละเอียดและขยายความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการและปัญหา
ทั้งนี้จะวิเคราะห์ครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ ต่อไปนี้
1. วิธีการ (Method)
: กระบวนการหรือเทคนิคที่ใช้ในการทำงาน
2. เครื่องจักร (Machines) : เทคโนโลยีต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร
หรือ
เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตที่ถูกใช้ในกระบวนการ
3. วัตถุดิบ (Materials) : ข้อมูล วิธีการทำ จำนวนข้อเท็จจริง แบบฟอร์ม
และแฟ้มข้อมูล
4. การวัด (Measures) : ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจะเกิดจากการวัดกระบวนการ
หรือการเปลี่ยนการกระทำของบุคคลโดยมีอคติเกี่ยวกับสิ่งที่วัดสูง
รวมถึงวิธีการที่ใช้ในการนั้นๆ
5. คน (People)
: กุญแจที่หลากหลายในวิธีการที่องค์ประกอบอื่นๆ
จะผสมผสานเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ขององค์กร
ขั้นที่ 4 การปรับปรุง :
(I : Improve)
การนำไปปรับปรุง ปฏิบัติจริงจะต้องได้รับการ
บริหารอย่างรอบคอบและได้รับการตรวจสอบ
โดยจะต้องมีการทำโครงการนำร่อง
ทีมจะดำเนินการวิเคราะห์ปัญหาอย่างระมัดระวังเพื่อพิจารณาว่าสิ่งใดอาจเกิดความผิดพลาด
และเตรียมที่จะป้องกันหรือจัดการกับความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้น
ขั้นที่ 5 การควบคุม (C
: Control)
งานที่เกี่ยวกับการควบคุมที่ Black Belt
และทีมจะต้องทำให้สำเร็จ คือ
1.
พัฒนากระบวนการติดตามเพื่อรักษาการเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินการไว้ให้คงอยู่
2.
สร้างแผนการตอบสนองสำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
3.
ทำการช่วยให้ฝ่ายบริหารสนใจตัวชี้วัดที่สำคัญจำนวนหนึ่งซึ่งจะทำให้พวกเขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ของโครงการ
และการวัดปัจจัยของกระบวนการ
4. ถ่ายทอดโครงการโดยการนำเสนอผลงานและการสาธิต
5.
ส่งมอบความรับผิดชอบในโครงการให้กับคนที่ทำงานตามปกติ
6.
ทำให้มั่นใจว่าจะมีการสนับสนุนจากฝ่ายบริหารสำหรับวัตถุประสงค์ระยะยาวของโครงการ
องค์ประกอบสำคัญที่มีบทบาทต่อ Six
Sigma
โครงสร้างและหน้าที่รับผิดชอบ ของ Six
sigma ประกอบด้วย
1 .Champion
เป็นชื่อเรียกผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงสุดต่อผลสำเร็จในงาน
หรือผู้บริหารระดับสูง (Executive-Level Management) สนับสนุนให้เป้ามายของงานสำคัญประสบความสำเร็จ
รณรงค์และผลักดันให้เกิดองค์การ six sigma และเกิดกระบวนการปรับปรุงองค์การอย่างต่อเนื่อง
ขจัดอุปสรรค ให้รางวัลหรือค่าตอบแทน ตอบปัญหา อนุมัติโครงการ
กำหนดวิสัยทัศน์โครงการ สนับสนุนทรัพยากรในด้านบุคลากร งบประมาณ เวลา สถานที่
กำลังใจ และความชัดเจนในหน้าที่ ผลักดันให้มีจำนวน Black Belt และ Green Belt ที่เหมาะสมในองค์การ
มีหน้าที่ติดตามความก้าวหน้าของโครงการปรับปรุง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การ
ส่งเสริมและสนับสนุนการสร้างวัฒนธรรมในการปรับปรุงให้เกิดขึ้นในองค์การ
โดยอาศัยการสื่อสาร การตั้งคำถามเพื่อย้ำให้เกิดแนวความคิดแบบ six sigma มีการชมเชยและการให้ประกาศนียบัตรแก่พนักงานในองค์การ
มีการคัดเลือกโครงการปรับปรุงที่ดีเยี่ยมและการให้รางวัลเมื่อพนักงานปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ
2. Six sigma Director
มีหน้าที่นำและบริหารองค์การให้สำเร็จบรรลุแนวทาง six sigma ภายในหน่วยงานทางธุรกิจตนเอง เป็นผู้กำหนดแนวทางในการปฏิบัติและนโยบายการดำเนินงานของ
six sigma สนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ
ที่สำคัญในการกระจายนโยบายให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
3. Master Black Belt
คือ ผู้ชำนาญการด้านเทคนิค และเครื่องมือสถิติ
เป็นผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการทำงานเป็นอย่างดี และสามารถถ่ายทอดและให้การอบรมเพื่อสร้างทีม
Black Belt และ Green Belt ตลอดการปรับปรุงได้
เป็นผู้ช่วยเลือกโครงการปรับปรุงให้แก่ Champion และเป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์ในการคัดเลือกโครงการปรับปรุง
โดยมองในภาพรวมใหญ่ขององค์การ ได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน
และการเสนอโครงการปรับปรุงที่เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานต่าง เป็นต้น
4. Black belt
คือ ผู้บริหารโครงการ (Project Manager) และผู้ประสานงาน
(Facilitator )ได้รับการรับรองว่าเป็นสายดำชั้นครู Black
belt เป็นการบ่งบอกถึงระดับความสามารถสูงสุดของนักกีฬายูโด
จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าโครงการ บริหารลูกทีมที่มีลักษณะข้ามสายงาน ซึ่งในการบริหาร
six sigma จะประกอบไปด้วยการทำโครงการย่อยที่คัดเลือกจากปัญหาที่มีอยู่ในกระบวนการต่าง
ๆ ขององค์การ กระจายกลยุทธ์และนโยบายของบริษัทไปยังระดับปฏิบัติการ
ผลักดันความคิดของ Champion ให้เกิดขึ้นและให้ความช่วยเหลือ Master
Black Belt six sigma Director และ Champion นอกจากนี้ยังเป็นผู้ค้นหาปัญหาและอุปสรรคที่อยู่ในองค์การ
และวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีความจำเป็นในการทำให้องค์การบรรลุความพึงพอใจของลูกค้า
เป็นผู้บริหารโครงการในแต่ละขั้นตอนตามแนวทาง six sigma ประกอบด้วย
กระบวนการวัด การวิเคราะห์ การปรับปรุง และการควบคุม
โดยให้เกิดการกระจายผลการปรับปรุงไปสู่การปฏิบัติ
รายงานความก้าวหน้าของโครงการให้ผู้บริหารระดับสูงทราบ Black Belt จะต้องทำหน้าที่ในการโน้มน้าวทีมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คัดเลือกเครื่องมือที่จะนำมาใช้ในการปรับปรุงได้อย่างเหมาะสม
เก็บรวบรวมปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโครงการปรับปรุงจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
ภายในองค์การ ทั้งจากพนักงานจนถึงระดับผู้จัดการ
สร้างความมั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการปรับปรุงสามารถคงอยู่ได้ตลอดไป Black
Belt ต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้มีความรู้ทีสำคัญในการปรับปรุงการทำงาน
ซึ่งความรู้หลัก ๆ ของ Black Belt เพื่อการทำโครงการปรับปรุงที่จะได้รับประกอบด้วย
4.1
ความรู้ทางสถิติ
4.2
ความรู้ทางด้านการบริหารโครงการ
4.3
ความรู้ทางด้านการสื่อสารและการเป็นผู้นำโครงการ
4.4
ความรู้เพื่อการปรับปรุงคุณภาพอื่น ๆ
5. Green belt
คือพนักงานที่ทำหน้าที่โครงการ
เป็นผู้ที่รับการรับรองว่ามีความสามารถเทียบเท่านักกีฬายูโดในระดับสายเขียว
ซึ่งในการบริหาร six sigma นั้น ผู้ที่ทำหน้าที่เป็น Green
belt จะเป็นผู้ช่วยของ Black belt ในการทำงาน
ทำหน้าที่ในการปรับปรุงโดยใช้เวลาส่วนหนึ่งของการทำงานปกติ
นำวิธีการปรับปรุงตามแนวทาง six sigma ไปใช้ในโครงการได้
สามารถนำเอาแนวความคิดและวิธีการปรับปรุงไปขยายผลต่อในหน่วยงานของตนเองได้
6. Team Member
ในโครงการทุกโครงการจะต้องมีสมาชิกทำงาน 4-6 คน
โดยเป็นตัวแทนของคนที่ทำงานในกระบวนการที่อยู่ในขอบข่ายของโครงการส่วนสำคัญที่สุดในการทำ
Six sigma คือ โปรเจ็ก แชมเปี้ยน
ซึ่งจะมีหน้าที่ในการดูแลให้การสนับสนุน และจัดหางบประมาณที่เพียงพอให้แต่ละ Six
sigma และยังคอยสนับสนุน แบล็กเบลต์
ประโยชน์ในการนำ Six Sigma ไปใช้ในองค์กร
1. สามารถแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ และเสริมสร้างกลยุทธ์ใหม่ให้ธุรกิจ
2. บริหารจัดการและพัฒนาองค์กรโดยใช้ข้อมูลจริง
และใช้หลักการทางสถิติซึ่งเป็นที่
ยอมรับในระดับสากล
3. สร้างทีมงานในองค์กรให้แข็งแกร่ง
โดยประสานความร่วมมือของพนักงานแต่ละส่วนซึ่งมีผลการปฏิบัติงานโดดเด่น
และสามารถวัดผลได้
4. เพิ่มผลประกอบการด้านการเงินจากโครงการประหยัดต้นทุน
เพิ่มผลกำไรจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายการดำเนินงานเพื่อเพิ่มผลกำไร
พร้อมทั้งมุ่งเน้นการตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า
5. พัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพสูงขึ้น
และปรับองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
ถ้าจะเป็น Green Belt ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างครับ ต้องไปอบรมไหม อบรมกับใคร หรือบริษัทแต่งตั้งได้เลย
ตอบลบ